วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

ภูทอก

 ภูทอก
ภูสวรรค์แดนนิพพาน
 ***************

ประวัติความเป็นมา
                   ภูทอก ในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) อยู่ในอาณาเขตบ้านคำแคน ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล  จ.หนองคาย ภูทอกมี 2 ลูกคือ ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย ส่วนที่นักแสวงบุญและนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถชมได้คือภูทอกน้อย  ส่วนภูทอกใหญ่อยู่ห่างออกไป  ยังไม่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวไปชมได้ตามปกติ  ในอดีตอาณาบริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย  ต่อมาพระอาจารย์จวน  กุลเชฏโฐ ได้เริ่มเข้ามาจัดตั้งเป็นแหล่งบำเพ็ญเพียร เพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม เนื่องจากเป็นสถานที่เงียบสงบ เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณะธรรมของภิกษุ-สามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป  
                    ในเวลาต่อมา  ก่อนที่พระอาจารย์จวนจะละสังขาร  ได้เล็งเห็นการณ์ไกลที่จะช่วยเหลือชาวบ้านแถวนี้ให้มีรายได้อย่างยั่งยืนและถาวร   เป็นการตอบแทนบุญคุณญาติโยมที่มีอุปการะ  จึงได้ริเริ่มจัดสร้างสะพานไม้และบันไดขึ้นชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอก  เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพุทธรักษ์  คือการท่องเที่ยวในเชิงการแสวงบุญหรือธรรมจาริก  นักท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์จากการเที่ยวชมธรรมชาติคือขุนเขาลำเนาไพรและได้ศึกษาพุทธศาสนา  ส่วนชาวบ้านจะได้ประโยชน์จากการจำหน่ายสินค้าและธุรกิจร้านอาหาร (เงินจะสะพัด)
                    นี่คือการช่วยเหลือประชาชนในแนวทางของพระอริยะ  ส่วนพระที่ช่วยเหลือประชาชนโดยการบอกเลขใบ้หวย  เป็นการช่วยเหลือที่ไม่จีรังยั่งยืน
  
   
 ภูทอก เจดีย์พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ ป้ายบอกรายละเอียด (คลิ๊กอ่าน)
   
ศาลาพักผ่อนริมสระน้ำไหว้พระก่อนขึ้นภูประตูสวรรค์ขึ้นภูทอก
   
 หยุด...! อยู่ตรงนั้น ถ้าท่านส่งเสียงดัง ป้ายบอกชั้นที่ 1ทางเดินชั้นที่ 1
    บันไดขึ้นภูทอก
                    การขึ้นภูทอกนั้น  ท่านพระอาจารย์จวนเริ่มก่อสร้างบันไดไม้สำหรับไต่ขึ้นไปในปี พ.ศ. 2512 ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปีเต็ม บันไดทั้ง 7 ชั้น แตกต่างกัน ดังนี้

          ชั้นที่ ๑.  เมื่อนักแสวงบุญเดินผ่านประตูสวรรค์เข้าไป  แม้จะไม่มีป้ายบอก  แต่ก็ถือว่าเข้ามาอยู่ในอาณาบริเวณชั้นที่ 1 แล้ว   ชั้นที่หนึ่งนี้นักแสวงบุญจะได้สัมผัสกับต้นไม้ใบหญ้าหลากชนิดนานาพันธุ์ 
          ชั้นที่ ๒  เป็นบันไดไม้ยาวทอดรับจากชั้นที่ 1 (ดูภาพประกอบ) เมื่อเดินตามสะพานไม้ไปเรื่อย ๆจะเห็นสถานีวิทยุชุมชนของวัดอยู่ด้านขวามือ  ชั้นที่หนึ่งและสองมีทัศนียภาพที่ไม่ต่างกันมากนัก 
          ชั้นที่ ๓  เป็นสะพานเวียนรอบเขา สภาพเป็นป่าเขามืดครึ้ม มีโขดหินลานหิน สุดทางชั้นที่ 3 มีทางแยกสองทาง (ดูภาพประกอบ) ทางซ้ายมือเป็นทางลัดผ่านชั้น 4 ไปสู่ชั้นที่ 5 ได้เลยซึ่งเป็นทางค่อนข้างชัน ผ่านซอกหินที่มีลักษณะเหมือนอุโมงค์  ส่วนทางขวามือเป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4 แล้ววกขึ้นชั้นที่ 5 เป็นทางอ้อม  (ขอแนะนำว่าควรขึ้นทางนี้  แล้วลงทางนั้น(ทางลัด))
          ชั้นที่ ๔  เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกัน เรียกว่า “ดงชมพู” ทิศตะวันออกจดกับภูลังกา เขตอำเภอเซกา ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดิบ มีแม่น้ำลำธารหลายสายไหลผ่าน มีสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมีฝูงกามาอาศัยอยู่มาก จึงเรียกกันว่า ภูรังกา แล้วเพี้ยนมาเป็นภูลังกาในที่สุด  ชั้นที่ 4 นี้ จะเป็นที่พักของแม่ชี รอบชั้นมีระยะทางประมาณ 400 เมตร มีที่พักผ่อนระหว่างทางเป็นระยะๆ             
   
ทางเดินชั้นที่ 1 ไปชั้น 2 ทางตรง(ลัด)จากชั้น 3 ไปชั้น 5
(ทางขวามือไปชั้น 4 แล้ววกไปชั้น 5)
 ทะลุผ่านซอกหินดุจอุโมงค์
   
ทางขึ้นชั้น 5ถ้ำพระ หรือศาลากลาง ชั้นที่ 5 ภายในศาลากลางชั้น 5 หรือถ้ำพระ
   
สะพานหินทอดสู่พุทธวิหาร สะพานหิน  สะพานไม้  ข้ามไปสู่พุทธวิหาร   พุทธวิหาร  (คลิ๊ก)



พุทธวิหาร ก้อนหินประหลาด  ตั้งอยู่อย่างน่าหวาดเสียว  น่าอัศจรรย์พอกันกับพระธาตุอินทร์แขวนที่ประเทศพม่า (มองจากชั้นที่ 6)
หากใครมีเงินไม่มากพอที่จะไปไหว้พระธาตุอินแขวนที่ประเทศพม่า  มาไหว้พุทธวิหารแทนก็ได้  ได้บุญพอ ๆ กัน
            ชั้นที่ ๕  หรือชั้นกลาง เป็นชั้นที่สำคัญที่สุดแต่ไม่ได้สวยที่สุด (สวยที่สุดคือชั้น 6)  มีศาลากลางและกุฏิที่อาศัยของพระ และเป็นที่เก็บศพของพระอาจารย์จวนไว้ด้วย ตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายถ้ำ เช่น ถ้ำเหล็กไหล ถ้ำแก้ว ถ้ำฤาษี ฯลฯ ตลอดเส้นทางสู่ชั้นที่ 6 มีที่พักเป็นลานกว้างอยู่ราว 20 แห่ง มีหน้าผาชื่อต่างๆ กัน เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผาเทพสถิต ฯลฯ ถ้ามาทางด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พุทธวิหาร อันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย มองออกไปจะเห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน และมีบันไดเวียนขึ้นสู่ชั้นที่ 6               พุทธวิหาร  แปลว่า สถานที่พักผ่อนของท่านผู้ตรัสรู้แล้ว  เป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่พระอริยหลายองค์มาพักผ่อนและละสังขารที่นี่  มีลักษณะที่แปลกและน่าอัศจรรย์ที่สุด  คล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่ประเทศพม่า  ปัจจุบันมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร
          ในอดีตก่อนที่จะมีการสร้างสะพานไม้เชื่อมต่อ  บุคคลธรรมดาไม่อาจข้ามมาที่พุทธวิหารได้  เพราะมีหุบเหวขวางกั้น  แต่มีบุคคลอยู่ประเภทหนึ่งที่สามารถปรากฎตัวที่พุทธวิหารได้  คือพระอรหันต์และท่านผู้ทรงอภิญญา  ท่านเหล่านี้จะมาพักผ่อนที่พุทธวิหารเองโดยการเดินบนอากาศหรือเหาะข้ามมา  เพราะต้องการปลีกวิเวกและไม่ให้ใครมารบกวนได้  ดังนั้น หินประหลาดก้อนนี้จึงถูกเรียกว่า พุทธวิหาร  ซึ่งแปลว่า  สถานที่พักผ่อนของท่านผู้บรรลุแล้ว  
          ในปัจจุบันแม้ว่าจะมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหารแล้วก็ตาม  แต่นักแสวงบุญทั่วไปก็ไม่อาจเข้าไปสัมผัสพุทธวิหารใกล้ชิดกว่านี้ได้  เพราะทางวัดปิดประตูไว้  เนื่องจากเทวดาที่รักษาพระบรมสารีริกธาตุทนเหม็นกลิ่นสาบมนุษย์ไม่ไหว  ทางวัดจึงอนุญาตให้นักแสวงบุญมาได้แค่ปากประตูเท่านั้น (แค่นี้ก็ดีแล้ว)
               ความอัศจรรย์ของพุทธวิหาร  คือ หินก้อนนี้แยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่แล้ว  แต่ไม่ตกลงมา  เพราะตั้งอยู่ได้ฉากกับพื้นโลกพอดี  ข้อนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่รู้  เพราะไม่ค่อยสังเกต  หากอยากเห็นชัด ๆ ให้เดินมาที่ฐานของพุทธวิหาร  จะเห็นได้ชัด  หรือสังเกตุดูที่ภาพถ่ายก็ได้  การที่พุทธวิหารตั้งอยู่ได้โดยไม่ตกลงมาถือได้ว่า น่าอัศจรรย์พอ ๆ กันกับพระธาตุอินทร์แขวน  
               สะพานหิน  ยาวทอดตัวออกมาจากภูทอก  ยื่นออกมาทางพุทธวิหาร (ดูภาพประกอบ)  เมื่อยืนบนสะพานหินจะสามารถมองเห็นภูทอกใหญ่และมองเห็นทัศนียภาพสองฟากฝั่งได้อย่างชัดเจน  รวมทั้งสูดอากาศที่บริสุทธิ์ด้วย  คล้ายกับอยู่บนสรวงสวรรค์ก็มิปาน
               สะพานไม้  มีความยาวประมาณ 10 เมตร  เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินและพุทธวิหาร  เป็นดุจสิ่งที่เชื่อมต่อโลกสวรรค์และแดนนิพพานเข้าด้วยกัน  เมื่อยืนอยู่บนสะพานไม้แล้วมองลงไปด้านล่าง  จะเห็นแต่ต้นไม้และหุบเหวที่ลึกสุดหยั่ง (คนขวัญอ่อนมิควรมองลงไป)  จะทำให้ทราบว่า  บุคคลที่สามารถข้ามจากสะพานหินเพื่อไปบำเพ็ญเพียรหรือพักผ่อนที่พุทธวิหารได้  ต้องมิใช่บุคคลธรรมดา  

           ป.ล. เมื่อมาถึงชั้นที่ 5 แล้ว ต้องมาที่สะพานหิน  สะพานไม้ และข้ามมาที่พุทธวิหารให้ได้  ไม่เช่นนั้นจะถือว่ามาไม่ถึงภูทอก (อย่าลืมถ่ายรูปไว้ด้วย)  
   
ดับเบิ๊ลคลิ๊กที่ภาพ เพื่อขยายใหญ่ จะเห็นรอยแยกก้อนหินที่พุทธวิหารอย่างชัดเจน  ตั้งอยู่อย่างหมิ่นเหม่ริมหน้าผา             ดอกเอ็นอ้าน้อย (ราชินีศรีภูทอก)
          ชั้นที่ ๖  เป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา  มีความยาว 400 เมตร  เป็นชั้นที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอกได้ดีที่สุดและสวยที่สุด  สิ่งศักดิ์สิทธิ์และน่าชมที่สุดของชั้นนี้คือ  ปากทางเข้าเมืองพญานาคซึ่งอยู่หลังพระปางนาคปรก  มีจุดให้สังเกตุคือมีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นรอยถลอกที่เกิดจากท้องพญานาคสัมผัสกับหิน  และมีบ่อน้ำเล็ก ๆ ขังอยู่เกือบตลอดปี (ดูภาพประกอบ)  
          ป.ล. การถ่ายภาพพุทธวิหารให้ได้ภาพงดงามที่สุด  ต้องถ่ายซูมจากชั้นที่ 6 เท่านั้น
          ชั้นที่ ๗ จากชั้นที่หกขึ้นมาชั้นที่เจ็ด  จะมีบันไดไม้พาดขึ้นมา  เมื่อเดินขึ้นบันไดผ่านมาแล้วจะเจอทางแยก  2 ทางเพื่อขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้น 7  ทางแรกเป็นทางชัน  ต้องเกาะเกี่ยวกิ่งและรากไม้โหนตัวขึ้นด้านบน  นักท่องเที่ยวจะได้ความสนุกผสมความมันส์ดุจขึ้นเขาคิชฌกูฏ(จันทบุรี)   อีกทางหนึ่งเป็นทางอ้อมต้องเดินเวียนไปทางขวามือ  แต่จะมาบรรจบกันด้านบน  ทางนี้เหมาะสำหรับคนแรงน้อย คนเฒ่า-คนแก่และเด็ก ๆ
          สำหรับชั้นที่เจ็ดบนดาดฟ้านั้นมีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ เป็นชั้นมหัศจรรย์อีกชั้นหนึ่ง  เพราะนักท่องเที่ยวบางคนประทับใจมาก  ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างใด ๆ  มีเพียงป่ากับต้นไม้  ส่วนบางคนไม่ประทับใจเลย  บอกว่าไม่เห็นมีอะไร  ส่วนพวกนักท่องเที่ยวผู้มีตาทิพย์หรือมีญาณวิเศษก็บอกว่า ต้นไม้บนดาดฟ้าชั้นที่เจ็ดเป็นวิมานของพวกเทวดาเต็มไปหมด  ดังนั้น คนที่ไม่มีบุญหรือบุญไม่พอ  จะไม่มีโอกาสได้มาถึงชั้นเจ็ดอย่างแน่นอน  ถึงเดินมาก็มาไม่ถึง หรืออาจเดินหลงทางหรือหาทางขึ้นไม่เจอก็เคยมี

             ป.ล. นักท่องเที่ยวผู้มาจากแดนไกล  เมื่อมีโอกาสแล้ว  ควรหาโอกาสปีนมาให้ถึงชั้น 7 จะได้ไม่คาใจ (สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น) 
หมายเหตุ          ชั้น 3 - 6 สามารถเดินเวียนรอบได้  ส่วนชั้นนที่ 5 - 7 เป็นแดนสวรรค์  เป็นที่อยู่ของเทวดาชั้นสูง  นักแสวงบุญหรือนักท่องเที่ยวต้องสำรวมระวังกาย วาจา และใจให้มาก  ถ้าจะให้ดีกว่านั้นหรือถ้ามาเป็นหมู่คณะ  ควรรวมกลุ่มกันสวดมนต์สรรเสริญพระรัตนตรัยให้เหล่าเทพฟังด้วยก็จะดี  เป็นการนำบุญมาฝาก
          ภูทอก  คือแดนสวรรค์ที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้โดยที่ไม่ต้องรอให้ตายจริง 
   
แดนสวรรค์ ชั้นที่ 6 พุทธวิหารมองจากชั้นที่ 6ทางเดินรอบชั้นที่ 6
   
งามดุจทิพยวิมานทางเข้าถ้ำเข้าเมืองพญานาคหลังองค์พระบันไดขึ้นไปสู่ชั้น 6
   
 งดงาม ๆ ทางขึ้นสวรรค์ชั้น 7 ชั้นที่ 7 มีแต่ป่ากับงู
ข้อควรปฏิบัติก่อนขึ้นเขา
                    เนื่องจากวัดไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหรือแหล่งทัศนาจร  หากแต่เป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจของชาวพุทธเป็นสำคัญ  ผู้เข้าเยี่ยมชม-กราบไหว้ควรปฏิบัติตามกฎที่ทางวัดตั้งไว้อย่างเคร่งครัด คือ
          ๑. ห้ามนำสุรา-อาหารไปรับประทานบนยอดเขาโดยเด็ดขาด
          ๒. 
ห้ามส่งเสียงดังรบกวนพระ-เณรที่กำลังภาวนา
          ๓. ห้ามขีดเขียนสลักข้อความลงบนหิน
          ๔. ห้ามทำลามกอนาจารฉันท์ชู้สาวและควรแต่งกายให้สุภาพ
               (อสุภาพสตรี (แปลว่า สตรีที่แต่งกายไม่สุภาพนุ่งน้อย-ห่มน้อย-เสื้อ-กระโปรง-กางเกงสั้น ห้ามขึ้นโดยเด็ดขาด)
สาเหตุที่ห้าม
          ๑. เนื่องจากที่แห่งนี้มีนาค(งู)อาศัยอยู่มาก  และงูเหล่านี้ถือศีลงดกินเนื้อสัตว์  หากได้กลิ่นอาหารจะทำให้ตบะแตกแล้วเลื้อยออกมาหาอาหาร  จะทำให้นักท่องเที่ยวพบสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์และจะเป็นอันตรายสำหรับภิกษุ-สามเณรที่อยู่ประจำ
          ๒. หากอนุญาตให้นำอาหารไปทานบนภูทอกได้  ไม่ช้าภูทอกก็จะเต็มไปด้วยขยะ  ระบบนิเวศน์และทัศนียภาพที่สวยงามจะเสียหาย
          ๓.  อสุภาพสตรีที่แต่งกายไม่สุภาพ  ทำให้บุรุษเพศหรือภิกษุ-สามเณรเห็นแล้วเกิดความกำหนัดคือเกิดกิเลส  แม้มนุษย์ด้วยกันจะไม่รู้  แต่เทพยดาที่นี้จะรู้  ดังนั้นจึงได้ห้ามเด็ดขาด
          
   
สะพานไม้ข้ามหุบเหวไปพุทธวิหาร     ป้ายเขียนว่า  "สถานที่ปฏิบัติธรรมของพระเณร
                 มิใช่ แหล่งท่องเที่ยว"  
 ห้ามส่งเสียงดัง  !!
หน้าผาหัวช้าง (ถ่ายจากสะพานหิน)
   
คลิ๊กเพื่ออ่านประวัติ พระอาจารย์จวนบันไดทางขึ้นสู่ชั้น 7บางช่วงต้องเดินก้มต่ำ
   
ภูทอกใหญ่ สะพานหิน  ไกลออกไปคือภูทอกใหญ่กุฏิพระ ชั้น 3
การเดินทาง
                    ภูทอกอยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคายประมาณ 185 กิโลเมตร การเดินทางจากตัวเมือง  ใช้ทางหลวงหมายเลข 212 ผ่านอำเภอโพธิ์ชัย อำเภอปากคาด และอำเภอบึงกาฬ แล้วเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 222 ถึงอำเภอศรีวิไล จากอำเภอศรีวิไลมีทางแยกซ้ายผ่านบ้านนาสิงห์ บ้านสันทรายงาม สู่บ้านนาคำแคน ถึงภูทอกเป็นระยะทางอีก 30 กิโลเมตร
ปกิณณกะ (เกล็ดเล็กน้อย)                     เมื่อนักแสวงบุญมาถึงภูทอกแล้ว  มักจะมีไกด์กิตติมศักดิ์คือสุนัขไทยแสนรู้ตัวหนึ่ง  จะอาสาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์(ผู้นำทาง)  พานักแสวงบุญขึ้นไปชมสถานที่สำคัญ ๆ มัคคุเทศก์ตัวนี้รู้ทุกอย่าง ชำนาญพื้นที่  เพียงแต่พูดไม่ได้ หากใครเพิ่งมาครั้งแรก  ให้เดินตามมัคคุเทศก์ตัวนี้  สิ่งที่เขาอยากจะได้จากการทำหน้าที่นี้คือบุญกุศล  แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นคืออาหาร  เมื่อเขานำทางนักท่องเที่ยวไปถึงชั้นที่ 5 แล้ว  เขาจะแสดงอาการว่าหิวอาหาร  ดังนั้นนักท่องเที่ยวควรมีอาหาร(เนื้อ)ติดตัวไปด้วย  อย่าให้อาหารแก่เขาบนภูทอกอย่างเด็ดขาด  แต่ควรให้เมื่อลงมาถึงพื้นล่างแล้วเท่านั้น ...!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น