ประเทศไทยใจเดียว
ที่นี่อาจจะเป็นเพียงไม่กี่แห่งของภาคอีสานที่แทบจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ความแห้งแล้งแห่งภาคอีสานให้เป็นสถานที่แห่งดอกไม้ป่าที่บานสะพรั่งจนอาจจะลืมไปชั่วขณะว่าดินแดนแห่งนี้เป็นเมืองมายาที่ถูกเนรมิตมาจากอำนาจเวทย์มนต์ สวนสาธารณะช่างจัดสวนฝีมือดีมาจัดแต่ง หรืออยู่ในความฝันกันแน่ จะเป็นดั่งอะไรก็ตาม แต่ที่นี่คือ อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก
อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ภูเขาหินทรายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ส่วนที่ต่อเชื่อมกันของหลายๆจังหวัดเช่น สกลนคร อุดรธานี กาฬสินธุ์ แต่ถ้าเป็นในยุคที่ ผกค.กำลังดังๆ ถ้าบอกว่าป่าดงพระเจ้า เขตอำเภอส่องดาวนี่คงซู้ดปากกันเป็นแถว จะบอกว่าเป็นดงของ ผกค.ในอดีตก็ว่าได้
เนื้อที่อุทยานแห่งนี้ 261,875 ไร่ ถูกสำรวจและจัดตั้งในสมัยนายผ่อง เล่งอี้ เป็นอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นพื้นที่โครงการป่ารักน้ำแห่งแรกของไทย ซึ่งเป็นโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ
ในเขตอุทยานฯเขามีหลากหลายทั้ง ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ หน้าผาสารพัด น้ำตกเยอะแยะไปหมด แต่ให้ท่านผู้อ่านเก็บเป็นข้อมูลไว้คือ ถ้าที่ไหนพื้นที่เป็นลานหินทราย ป่าเป็นป่าเต็งรัง น้ำตกจะมีน้ำเฉพาะช่วงฝนตก ถ้าที่ไหนมีพื้นที่กว้าง เวลาที่มีน้ำตกอาจจะยืดออกไปหน่อย
ถ้านอกเหนือจากนี้ ฟันธงว่าไม่มีน้ำ น้ำตกทั้งหลายของอุทยานฯภูภาเหล็กก็ไม่พ้นเงื่อนไขนี้
แต่นั่นไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นจุดดึงดูดของอุทยานฯแห่งชาติแห่งนี้ เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ของอุทยานฯแห่งนี้นี่เองที่แทบจะขนานนามได้ว่าเป็น เส้นทางสายดอกไม้และเขาวงกตแห่งสวนดอกไม้จริงๆ
เส้นทางเดินเขาราวๆ 3 กม.เท่านั้นเอง ถ้าเดินเป็นวงก็อาจจะยืดออกไปไม่มาก โดยเริ่มที่ที่ทำการอุทยานฯ สภาพทั่วไปของเส้นทางเดินคือป่าเต็งรัง กองหินทราย ลานหินทราย แต่สิ่งเหล่านี้แหละที่มันมีคุณค่าเพิ่มในฤดูฝน
เส้นทางเดินเขาราวๆ 3 กม.เท่านั้นเอง ถ้าเดินเป็นวงก็อาจจะยืดออกไปไม่มาก โดยเริ่มที่ที่ทำการอุทยานฯ สภาพทั่วไปของเส้นทางเดินคือป่าเต็งรัง กองหินทราย ลานหินทราย แต่สิ่งเหล่านี้แหละที่มันมีคุณค่าเพิ่มในฤดูฝน
เพราะบรรดาหินทรายทั้งหลายที่เป็นรูปทรงต่างๆนั้นพอมันชื้นน้ำเข้า บรรดาเชื้อพันธ์ของพืชขนาดเล็ก อย่าง เฟิร์น มอส ดอกบีโกเนีย ดอกหยาดน้ำเงิน และดอกไม้สารพัด จะมาเจริญเติบโตกันเต็มพื้นที่บนก้อนหินเหล่านั้นเต็มไปหมด
ตามพื้นดินที่เป็นพื้นดินทราย ซึ่งก็จะชื้นน้ำเช่นกัน ก็จะมีดอกไม้ดินพวกกระดุมเงิน จอกบ่วาย หญ้าปัดน้ำ ขึ้นกันเต็มไปทั้งลานหินและก้อนหิน แล้วพืชชนิดไหนที่มันมีดอกได้ ช่วงฝนชุกๆ พืชเหล่านี้จะรีบโต และรีบออกดอกเพื่อขยายเผ่าพันธุ์
แล้วในเส้นทางศึกษาธรรมชาติของที่นี่นั้น จะมีกลุ่มกองหินทราย กองใหญ่ๆสูง 5- 6 เมตร แต่ละกองเหมือนกับก้อนหินเหล่านี้มันแบะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเป็นพันเป็นหมื่นปีมาแล้ว
ที่ปรากฏในปัจจุบันจึงเป็นช่องทางเดินที่วกไปวนมา(ก็คือช่องที่หินใหญ่มันแตกออกนั่นเอง) สองข้างทางเดินจะเป็นผาหินสูง 5-6 เมตร ที่สำคัญ ตามผนังหินเหล่านี้จะมีดอกไม้สารพัดชนิดออกดอกบานสะพรั่ง
ที่ปรากฏในปัจจุบันจึงเป็นช่องทางเดินที่วกไปวนมา(ก็คือช่องที่หินใหญ่มันแตกออกนั่นเอง) สองข้างทางเดินจะเป็นผาหินสูง 5-6 เมตร ที่สำคัญ ตามผนังหินเหล่านี้จะมีดอกไม้สารพัดชนิดออกดอกบานสะพรั่ง
ท่านผู้อ่านเคยเห็นการจัดสวนดอกไม้แนวตั้งไหมครับ นั่นแหละ เป็นแบบนั้นเลย กองหินผนังดอกไม้อย่างที่ผมว่านี้ จะมีอยู่ 3-4 กอง ไม่ไกลกันนัก เดินวนไปวนมาจะเอียนดอกไม้เอาด้วย ในยามที่มันบานสะพรั่งนั้น ท่านเหลียวไปทางไหนก็เห็นแต่ดอกไม้เหล่านี้
ในพื้นเส้นทางเขามีน้ำตกอยู่ 2-3 แห่ง แต่อย่างที่ผมบอกไปว่าน้ำตกจะมีน้ำเมื่อช่วงฝนตก ถ้าฝนไม่ตกก็อย่าไปหวัง แต่ดอกไม้นั้นขอให้หินทรายชื้นเป็นได้เห็น
ที่ผมประทับใจอีกอย่างก็คือบริเวณที่เรียกว่า Green Wall จะเป็นช่องผาหินที่ตัดดิ่ง สูงราว 7 เมตร ช่องกว้างแค่ 1-3 เมตร แต่สองฝั่งนั้นเขียวครึ้มไปด้วยพืชชั้นต่ำและดอกไม้สารพัด
เจ้าช่องที่ผมว่านี้ อยู่ใกล้กับบริเวณที่เรียกว่า ถ้ำทอง คือจะเป็นเวิ้งถ้ำเข้าไป เนินดินภายในถ้ำนั้น จะมีราหรือพืชชั้นต่ำบางชนิดขึ้นกันอยู่ภายในเป็นสีเหลืองอร่าม เสียดายที่มีคนเข้าไปย่ำเหยียบภายใน เดี๋ยวนี้เลยไม่ค่อยปรากฏเห็นแล้ว
นอกจากนั้นในเส้นทางเดินเขายังมีก้อนหินขนาดใหญ่ ที่ขึ้นไปชมทิวทัศน์บนก้อนหินเหล่านี้ได้จะเห็นทุ่งนาป่าเขียวเบื้องล่าง แต่ช่วงนี้บนก้อนหินที่ขึ้นไปดูวิวนั้นก็ดาษดื่นทั้ง ดอกแววมยุรา เอื้องม้าวิ่ง หญ้าผักปราบ เรียกว่าเป็น สวรรค์ของคนรักดอกไม้ทีเดียว
เสียอยู่อย่างเดียวซึ่งต้องรบกวนทางอุทยานฯเข้าไปจัดการเสียหน่อยก็คือ บรรดาวัวควาย ที่ชาวบ้านเอาขึ้นมาเลี้ยงปล่อยในพื้นที่ วัวควายมันเดินย่ำ กิน ดอกไม้เหล่านี้เสียกระเจิง ที่หลงเหลือให้เห็นนี่ถือว่าสวยแล้ว แต่ถ้าเห็นที่วัวควายไปกินไปย่ำยังคงอยู่ไม่เสียหายไปเพราะเหตุนี้ ผมว่าที่นี่คือสวนดอกไม้บนลานหินดีๆนี่เอง เผลอๆจะเป็นจุดขายของอุทยานฯนี้ได้ด้วย รวมทั้งถ้ำทองที่ผมว่ามาก่อนนี้ก็ควรหาอะไรไปกั้น ไม่ให้คนเข้า
ธรรมดาอุทยานฯเราก็ไม่ค่อยมีอะไรเป็นจุดขายอยู่แล้ว พอมีเรื่องดอกไม้ป่าจึงน่าที่จะหาวิธีการรักษาป้องกันความเสียหาย
ช่วงที่ดีที่สุดในการไปดูดอกไม้ที่ภูผาเหล็กนั้น อยู่ในช่วงปลายๆเดือนสิงหาคม-ตุลาคมจะเห็นว่ามันสั้นมาก ผมเองลองผิดลองถูกไปมา 3-4 ครั้ง กว่าจะจับช่วงที่สวยที่สุดของที่นี่ได้ ไปตามที่ผมว่าไม่มีผิดหวังครับ
นายอำเภอ ผู้ว่าฯ หรือหัวหน้าอุทยานฯ ทางอีสานโดยเฉพาะอำเภอส่องดาวไม่ค่อยมีที่เที่ยวมากนัก เมื่อมีแล้วก็ควรช่วยกันดูแลอย่าปล่อยตามเวรตามกรรมครับ ไม่ใช่ไก่ได้พลอยจะได้ไม่รู้คุณค่า ท่านผู้อ่านลองหาโอกาสไปดูว่าจริงอย่างผมว่าหรือไม่ แล้วช่วยกันบอกต่อว่าเมืองไทยเรานั้นไม่มีวันเที่ยวหมดครับ...
.............................
การเดินทาง
• ใช้เส้นทางสายอุดรฯ-พังโคน มีแยกขวามือเข้า อ.ส่องดาว เลย อ.ส่องดาวไปเป็นทางเดียวกันกับทางขึ้นวัดถ้ำผาพวง อุทยานฯจะอยู่กลางเขาทางซ้ายมือ ทางลาดยางถึงที่รถทุกประเภทไปได้
• ถ้ามารถโดยสารจาก กทม. ลงที่วาราชภูมิ แล้วหารถไปส่งภูผาเหล็ก
• ที่อุทยานฯ มีที่กางเต็นท์ บ้านพัก แต่ไม่มีร้านอาหาร ควรเตรียมอาหารไป
• สามารถไปเที่ยวต่อวัดถ้ำผาพวงที่อยู่บนยอดเขาก็ได้ มีสังเวชนียสถานเลียนแบบที่อินเดียและจุดชมวิวผาดงก่อที่เหมาะเป็นที่ดูดาวดูทิวทัศน์ด้วย
• ใช้เส้นทางสายอุดรฯ-พังโคน มีแยกขวามือเข้า อ.ส่องดาว เลย อ.ส่องดาวไปเป็นทางเดียวกันกับทางขึ้นวัดถ้ำผาพวง อุทยานฯจะอยู่กลางเขาทางซ้ายมือ ทางลาดยางถึงที่รถทุกประเภทไปได้
• ถ้ามารถโดยสารจาก กทม. ลงที่วาราชภูมิ แล้วหารถไปส่งภูผาเหล็ก
• ที่อุทยานฯ มีที่กางเต็นท์ บ้านพัก แต่ไม่มีร้านอาหาร ควรเตรียมอาหารไป
• สามารถไปเที่ยวต่อวัดถ้ำผาพวงที่อยู่บนยอดเขาก็ได้ มีสังเวชนียสถานเลียนแบบที่อินเดียและจุดชมวิวผาดงก่อที่เหมาะเป็นที่ดูดาวดูทิวทัศน์ด้วย
..........................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น